สรุปเนื้อหา วิชาคอมพิวเตอร์
1.การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ความหมายของการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล(Data Communication) คือ กระบวนการโอนถ่ายหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งกับผู้รับ โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือ การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเพื่อติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โดยทั่วไปจะประกอบด้วย ระบบคอมพิวเตอร์ ช่องทางการสื่อสารข้อมูลและอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อต่อ ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ดังนั้นการสื่อสารข้อมูลจึงมีองค์ประกอบ 5 ประการคือ
1.ผู้ส่งข้อมูล(Sender) คือ ส่วนที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลไปยังจุดหมายที่ต้องการซุ่งเป็นอุปกรณ์
ต้นทางของการสื่อสารข้อมูล มีหน้าที่เตรียมสร้างข้อมูล อาจเ ป็นคน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น
2.ผู้รับข้อมูล (Receiver) คือ สิ่งที่ทำหน้าที่รับข้อมูลที่ถูกส่งมาให้ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ใช้ในการรับข้อมูล อาจเป็นคน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น
3.สื่อกลาง (Medium) คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการขนถ่ายข้อมูลจากผู้ส่งข้อมูลไปยังู้รับข้อมูล เช่น สายเคเบิล อากาศ เป็นต้น
4.ข้อมูล(Data) คือ ข้อมูลที่ผู้ส่งข้อมูลต้องการส่งไปยังผู้รับข้อมูล ข้อมูลอาจอยู่ในรูปของข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และอื่นๆ
5.โปรโตคอล(Protocol) คือ กฎหรือวิธีที่กำหนดขึ้นเพื่อการสื่อสารข้อมูล ซึ่งผู้ส่งข้อมูลจะต้องส่งข้อมูลในรูปแบบวิธีการสื่อสารที่ตกลงไว้กับผู้รับข้อมูลจึงจะสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้
พัฒนาการของการสื่อสารข้อมูลข่าวสาร
1.การสื่อสารในยุคเกษตรกรรม
2.การสื่อสารในยุคอุตสาหกรรม
3.การสื่อสารในยุคปัจจุบัน
รูปแบบของการส่งสัญญาณข้อมูล
1.การสื่อสารแบบทิศทางเดียว(Simplex) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่มีผู้ส่งทำหน้าที่ส่งข้อมูลเพียงอย่างเดียว
2.การสื่อสารแบบกึ่งสองทิศทาง(Half-Duplex) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้รับและผู้ส่ง โดยแต่ละฝ่ายสามารถเป็นทั้งผู้ส่งและผู้รับข้อมูล
3.การสื่อสารแบบสองทิศทาง(Full-Duplex) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้ส่งและผู้รับโดยทั้งสองฝ่ายสามารถเป็นผู้ส่งและผู้รับในเวลาเดียวกัน
สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
1.สื่อกลางประเภทสายสัญญาณ (Wired Media)
2.สื่อกลางประเภทไร้สาย (Wireless Media)
ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.เครือข่ายระดับท้องถิ่นหรือเครือข่ายแลน(Local Area Network : LAN)
หรือเครือข่ายระยะใกล้เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร
2.เครือข่ายระดับเมือง(Metropolitan Area Network : MAN)
เป็นการเชื่อต่อเครือข่ายระหว่างอาคารซึ่งอาจจะอยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือนอกพื้นที่ที่อาจจะอยู่กันคนละมุมเมืองก็ได้
3.เครือ ข่ายระยะไกลหรือเครือข่ายแวน(Wide Area Network : WAN)
เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงระแบบคอมพิวเอตร์ในระยะห่างไกล
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว(Star Topology)
เป็นโครงสร้างที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แต่ละตัวเข้ากับศุฯย์กลาง การรับส่งข้อมูลทั้งหมดจะต้อง่านคอมพิวเตอร์ศุนย์กลางเสมอ
2.โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส(Bus Topology)
เป็นรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกเชื่อมต่อกันโดยผ่านสายสัญญาณแกนหลักที่เรียกว่า
BUS หรือแบ๊กโบน (Backcone)
3.โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (Ring Topology)
เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทั้งหมดเข้าเป็นวงแหวน ข้อมูลจะถูส่งต่อๆกันไปในวงแหวน
4.โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบสม(Hybrid Topology)
เป็นการเชื่อมต่อที่ผสมผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน
ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.การใช้ฐานข้อมูลร่วมกัน คือ สามารถเรียกใช้ข้อมูลจาเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้
2.การแบ่งปันทรัพยากรในเครือข่าย นอกจากใช้ฐานข้อมูลร่วมกันได้แล้วเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุด
3.การติดต่อสื่อสารระหว่างกันบนเครือข่าย เมื่อมีการเชื่อมโยงสถานีงานหรือ คอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนที่อยู่บนเครือข่ายจะสามารถใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
4.สำนักงานอัตโนมัติ แนวคิดของสำนักงานสมัยใหม่คือการลดปริมาณการใช้กระดาษโดยารหันมาใช้ระบบการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ทันที
2. หลักการและวิธีการแก้ปัญ หาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ
ลักษณะของปัญหาในชีวิตประจำวัน
1.การลองิดลองถูก เป็นวิธีการแก้ปัญหาแบบพื้นฐานที่สุด คือ สิ่งใดผิดก็ละเว้นไม่กระทำ สิ่งใดถูกก็เก็บเป็นฐานความรู้ ไว้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับการแก้ปัญหาในโอกาสต่อไป
2.การใช้เหตุประกอบการแก้ปัญหา ในบางกรณีผู้เรียนสามารถให้เหตุผลได้ว่าทำไมจึงคิด หรือทำเช่นนั้น
3.วิธีขจัด เป็นวิธีการแก้ปัญหาหนึ่งที่พบบ่อย นั่นคิดจะแยกข้อมูลออกเป็นกรณีที่เป็นไปไม่ได้และขจัดทิ้งไปเรื่อยๆ จนเหลือกรณีที่เป็นไปได้
4.การใช้ตารางหาความสัมพันธ์ของข้อมูล บางปัญ หาไม่สามารถจัดให้เหลือกรณีเดียวได้
กระบวนการแก้ปัญหา
1.วิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา
วิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา(State the problem)เป็นขั้นตอนแรกก่อนที่จะลงมือแก้ปัญหา แต่ผู้แก้ปัญหามักจะมองข้ามความสำคัญ ของขั้นตอนนี้อยู่เสมอ
2.การวางแผนในการแก้ปัญหา
เป็นขั้นตอนการวางแผนในการแก้ปัญหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากที่ทำวคามเข้าใจกับปัญหา พิจารณาข้อมูลและเงื่นไขที่มีอยู่ และสิ่งที่ต้องการหาในขั้นตอนที่ 1 แล้วสามารถคาดคะเนวิธีการที่จะใช้การแก้ปัญหา
3.การดำเนินการแก้ปัญหา
การดำเนินการแก้ปัญหา(Implementation) หลังจากที่ได้ออกแบบขั้นตอนวิธีเรียบร้อยแล้วขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องลงมือแก้ปัญหาโดยใช้เครื่องมือที่เลือกไว้
4.การตรวจสอบและปรับปรุง
การตรวจสอบและปรับปรุง(Refinement) หลังจากที่ลงมือแก้ปัญหาแล้วต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าวิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
การเขียนโปรแกรม
1.โครงสร้างแบบลำดับ(Sepuential structure) เป็นโครงสร้างแสดงขั้นตอนการทำงานที่เป็นไปตามลำดับก่อนหลัง แ ละแต่ละขั้นตอนจะถูกประมวลผลเพียงครั้งเดียวเท่านั้น สามารถแสดงการทำงานของโครงสร้างนี้โดยใช้ังงานได้ดังรูป
2.โครงสร้างแบบมีทางเลือก(Selection Structure) เป็นโครงสร้างที่มีเงื่อนไข ขั้นตอนการทำงานบางขั้นตอนต้องมีการตัดสินใจเพื่อเลือกวิธีการประมวลผลขั้นต่อไป และจะมีบางขั้นตอนไม่ได้รับการประมวลผล การตัดสินใจอาจมีทางเลือก 2 ทางหรือมากกว่า
3.โครงสร้างแบบทำซ้ำ(Repetition Structure) เป็นโครงสร้างที่ขั้นตอนการทำงานบางขั้นตอนได้รับการประมวลผลมากกว่า 1 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้น อยู่กับเงื่อนไขบางประการ โครงสร้างแบบทำซ้ำนี้ต้องมีการตัดสินใจในการทำงานซ้ำ
![](http://www.tice.ac.th/Online/Online2-2549/bussiness/sirichai/image/SNAG4-0021.gif)
การสั่งงานใดๆ ให้คอมพิวเตอร์ทำงาน จะต้องมีโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่คอมพิวเตอณ์เข้าใจ
รูปแบบของคำสั่งที่เขียนขึ้นนั้นเป็นข้อกำหนดที่มนุษย์ได้วางไว้ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ได้รับรู้อาจมีการใช้อักษร ข้อความ หรือสัญ ลักษณ์แทนคำสั่งเพื่อให้ผู้เขียนเข้าใจง่าย แล้วคอมพิวเตอร์ก็นำไปแปลความหมายตามที่ตกลงไว้