สรุปเนื้อหา วิชาคอมพิวเตอร์
1.การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ความหมายของการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล(Data Communication) คือ กระบวนการโอนถ่ายหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งกับผู้รับ โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือ การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเพื่อติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โดยทั่วไปจะประกอบด้วย ระบบคอมพิวเตอร์ ช่องทางการสื่อสารข้อมูลและอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อต่อ ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ดังนั้นการสื่อสารข้อมูลจึงมีองค์ประกอบ 5 ประการคือ
1.ผู้ส่งข้อมูล(Sender) คือ ส่วนที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลไปยังจุดหมายที่ต้องการซุ่งเป็นอุปกรณ์
ต้นทางของการสื่อสารข้อมูล มีหน้าที่เตรียมสร้างข้อมูล อาจเ ป็นคน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น
2.ผู้รับข้อมูล (Receiver) คือ สิ่งที่ทำหน้าที่รับข้อมูลที่ถูกส่งมาให้ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ใช้ในการรับข้อมูล อาจเป็นคน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น
3.สื่อกลาง (Medium) คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการขนถ่ายข้อมูลจากผู้ส่งข้อมูลไปยังู้รับข้อมูล เช่น สายเคเบิล อากาศ เป็นต้น
4.ข้อมูล(Data) คือ ข้อมูลที่ผู้ส่งข้อมูลต้องการส่งไปยังผู้รับข้อมูล ข้อมูลอาจอยู่ในรูปของข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และอื่นๆ
5.โปรโตคอล(Protocol) คือ กฎหรือวิธีที่กำหนดขึ้นเพื่อการสื่อสารข้อมูล ซึ่งผู้ส่งข้อมูลจะต้องส่งข้อมูลในรูปแบบวิธีการสื่อสารที่ตกลงไว้กับผู้รับข้อมูลจึงจะสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้
พัฒนาการของการสื่อสารข้อมูลข่าวสาร
1.การสื่อสารในยุคเกษตรกรรม
2.การสื่อสารในยุคอุตสาหกรรม
3.การสื่อสารในยุคปัจจุบัน
รูปแบบของการส่งสัญญาณข้อมูล
1.การสื่อสารแบบทิศทางเดียว(Simplex) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่มีผู้ส่งทำหน้าที่ส่งข้อมูลเพียงอย่างเดียว
2.การสื่อสารแบบกึ่งสองทิศทาง(Half-Duplex) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้รับและผู้ส่ง โดยแต่ละฝ่ายสามารถเป็นทั้งผู้ส่งและผู้รับข้อมูล
3.การสื่อสารแบบสองทิศทาง(Full-Duplex) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้ส่งและผู้รับโดยทั้งสองฝ่ายสามารถเป็นผู้ส่งและผู้รับในเวลาเดียวกัน
สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
1.สื่อกลางประเภทสายสัญญาณ (Wired Media)
2.สื่อกลางประเภทไร้สาย (Wireless Media)
ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.เครือข่ายระดับท้องถิ่นหรือเครือข่ายแลน(Local Area Network : LAN)
หรือเครือข่ายระยะใกล้เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร
2.เครือข่ายระดับเมือง(Metropolitan Area Network : MAN)
เป็นการเชื่อต่อเครือข่ายระหว่างอาคารซึ่งอาจจะอยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือนอกพื้นที่ที่อาจจะอยู่กันคนละมุมเมืองก็ได้
3.เครือ ข่ายระยะไกลหรือเครือข่ายแวน(Wide Area Network : WAN)
เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงระแบบคอมพิวเอตร์ในระยะห่างไกล
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว(Star Topology)
เป็นโครงสร้างที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แต่ละตัวเข้ากับศุฯย์กลาง การรับส่งข้อมูลทั้งหมดจะต้อง่านคอมพิวเตอร์ศุนย์กลางเสมอ
2.โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส(Bus Topology)
เป็นรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกเชื่อมต่อกันโดยผ่านสายสัญญาณแกนหลักที่เรียกว่า
BUS หรือแบ๊กโบน (Backcone)
3.โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (Ring Topology)
เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทั้งหมดเข้าเป็นวงแหวน ข้อมูลจะถูส่งต่อๆกันไปในวงแหวน
4.โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบสม(Hybrid Topology)
เป็นการเชื่อมต่อที่ผสมผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน
ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.การใช้ฐานข้อมูลร่วมกัน คือ สามารถเรียกใช้ข้อมูลจาเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้
2.การแบ่งปันทรัพยากรในเครือข่าย นอกจากใช้ฐานข้อมูลร่วมกันได้แล้วเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุด
3.การติดต่อสื่อสารระหว่างกันบนเครือข่าย เมื่อมีการเชื่อมโยงสถานีงานหรือ คอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนที่อยู่บนเครือข่ายจะสามารถใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
4.สำนักงานอัตโนมัติ แนวคิดของสำนักงานสมัยใหม่คือการลดปริมาณการใช้กระดาษโดยารหันมาใช้ระบบการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ทันที
2. หลักการและวิธีการแก้ปัญ หาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ
ลักษณะของปัญหาในชีวิตประจำวัน
1.การลองิดลองถูก เป็นวิธีการแก้ปัญหาแบบพื้นฐานที่สุด คือ สิ่งใดผิดก็ละเว้นไม่กระทำ สิ่งใดถูกก็เก็บเป็นฐานความรู้ ไว้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับการแก้ปัญหาในโอกาสต่อไป
2.การใช้เหตุประกอบการแก้ปัญหา ในบางกรณีผู้เรียนสามารถให้เหตุผลได้ว่าทำไมจึงคิด หรือทำเช่นนั้น
3.วิธีขจัด เป็นวิธีการแก้ปัญหาหนึ่งที่พบบ่อย นั่นคิดจะแยกข้อมูลออกเป็นกรณีที่เป็นไปไม่ได้และขจัดทิ้งไปเรื่อยๆ จนเหลือกรณีที่เป็นไปได้
4.การใช้ตารางหาความสัมพันธ์ของข้อมูล บางปัญ หาไม่สามารถจัดให้เหลือกรณีเดียวได้
กระบวนการแก้ปัญหา
1.วิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา
วิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา(State the problem)เป็นขั้นตอนแรกก่อนที่จะลงมือแก้ปัญหา แต่ผู้แก้ปัญหามักจะมองข้ามความสำคัญ ของขั้นตอนนี้อยู่เสมอ
2.การวางแผนในการแก้ปัญหา
เป็นขั้นตอนการวางแผนในการแก้ปัญหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากที่ทำวคามเข้าใจกับปัญหา พิจารณาข้อมูลและเงื่นไขที่มีอยู่ และสิ่งที่ต้องการหาในขั้นตอนที่ 1 แล้วสามารถคาดคะเนวิธีการที่จะใช้การแก้ปัญหา
3.การดำเนินการแก้ปัญหา
การดำเนินการแก้ปัญหา(Implementation) หลังจากที่ได้ออกแบบขั้นตอนวิธีเรียบร้อยแล้วขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องลงมือแก้ปัญหาโดยใช้เครื่องมือที่เลือกไว้
4.การตรวจสอบและปรับปรุง
การตรวจสอบและปรับปรุง(Refinement) หลังจากที่ลงมือแก้ปัญหาแล้วต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าวิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
การเขียนโปรแกรม
1.โครงสร้างแบบลำดับ(Sepuential structure) เป็นโครงสร้างแสดงขั้นตอนการทำงานที่เป็นไปตามลำดับก่อนหลัง แ ละแต่ละขั้นตอนจะถูกประมวลผลเพียงครั้งเดียวเท่านั้น สามารถแสดงการทำงานของโครงสร้างนี้โดยใช้ังงานได้ดังรูป
2.โครงสร้างแบบมีทางเลือก(Selection Structure) เป็นโครงสร้างที่มีเงื่อนไข ขั้นตอนการทำงานบางขั้นตอนต้องมีการตัดสินใจเพื่อเลือกวิธีการประมวลผลขั้นต่อไป และจะมีบางขั้นตอนไม่ได้รับการประมวลผล การตัดสินใจอาจมีทางเลือก 2 ทางหรือมากกว่า
3.โครงสร้างแบบทำซ้ำ(Repetition Structure) เป็นโครงสร้างที่ขั้นตอนการทำงานบางขั้นตอนได้รับการประมวลผลมากกว่า 1 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้น อยู่กับเงื่อนไขบางประการ โครงสร้างแบบทำซ้ำนี้ต้องมีการตัดสินใจในการทำงานซ้ำ
![](http://www.tice.ac.th/Online/Online2-2549/bussiness/sirichai/image/SNAG4-0021.gif)
การสั่งงานใดๆ ให้คอมพิวเตอร์ทำงาน จะต้องมีโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่คอมพิวเตอณ์เข้าใจ
รูปแบบของคำสั่งที่เขียนขึ้นนั้นเป็นข้อกำหนดที่มนุษย์ได้วางไว้ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ได้รับรู้อาจมีการใช้อักษร ข้อความ หรือสัญ ลักษณ์แทนคำสั่งเพื่อให้ผู้เขียนเข้าใจง่าย แล้วคอมพิวเตอร์ก็นำไปแปลความหมายตามที่ตกลงไว้
Top 10 ศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุด
10. MMA (Mixed Martial Arts)
![](http://www.wildgeesema.com/images/mma_fight1.JPG)
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบผสม คือ การต่อสู้ที่รวมเอาศิลปะการต่อสู้หลายแขนงเข้าไว้ด้วยกัน อย่างเช่น มวยไทย มวยสากล ยูโด มวยปล้ำ คาราเต้ แชมโบ บราซิลเลี่ยน ยูยิสสู มีทั้งการเตะต่อย และการทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้ โดยมี รายการ อัลติเมท ไฟต์ติง แชมเปียนชิพ (Ultimate Fighting Championship) หรือ UFC ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยม
9. Judo
![](http://www.green-imaging.com/wp-content/uploads/2013/12/judo-3.jpg)
เป็นศิลปะการป้องกันตัวประเภทหนึ่งที่ถือกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น โดยคะโน จิโงะโร ยูโดมีชื่อเต็มว่า โคโดกัง ยูโด เดิมเรียกว่า ยูยิสสู ซึ่งเป็นวิชาที่สามารถต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธด้วยมือเปล่า
8. Wing Chun
![](http://www.wtmartialartsleeds.com/images/home%20page%20pics/Application%20Wing%20Chun.jpg)
เป็นศิลปะการต่อสู้จีนแขนงหนึ่งในแบบของกังฟู หวิงชุน แตกต่างจากกังฟูแบบอื่นอย่างชัดเจน เป็นมวยที่ไม่ต้องใช้พละศึกษาหรือสุขศึกษามากนัก เหมาะสมกับสรีระของผู้หญิง ที่แรงกายอ่อนกว่าผู้ชาย แต่เน้นในการป้องกันตัวและจู่โจมในระยะสั้นแบบเชื่องช้า
7. Taekwondo
![](http://www.insep.fr/FR/Sports/Taekwondo/PublishingImages/taekwondo.jpg)
เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวโดยไม่ใช้อาวุธของชาวเกาหลี คำว่า "แท" () แปลว่า เท้าหรือการโจมตีด้วยเท้า; "คว็อน" () แปลว่า มือหรือการโจมตีด้วยมือ; "โท" () แปลว่า วิถีหรือสติปัญญา ดังนั้นเทควันโดโดยทั่วไป หมายถึง วิถีแห่งการใช้มือและเท้าในการต่อสู้และป้องกันตัว หรือการใช้มือและเท้าในการต่อสู้และป้องกันตัวอย่างมีสติ
6. Boxing
![](http://pumpups.com/blog/wp-content/uploads/2012/06/vfitness-boxing-classes-nyc.jpg)
มวยสากลเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีมาแต่โบราณ โดยเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของทหารในสนามรบ และกลายเป้นเกมกีฬาในการแข่งขันโอลิมปิคยุคโบราณ โดยที่นักมวยในยุคนั้นไม่มีการจำกัดน้ำหนัก ไม่สวมเครื่องป้องกันตัว และไม่จำกัดว่าต้องใช้ได้เพียงหมัด สามารถกัดหรือถองคู่ต่อสู้ได้ โดยไม่มีกติกามากนัก เพียงแต่นักมวยทั้งคู่ต้องถอดเสื้อผ้าให้หมดทั้งตัว เพื่อไม่ให้ซ่อนอาวุธเอาไ
5. Kung Fu
![](http://i.telegraph.co.uk/multimedia/archive/01670/kungFu_1670284c.jpg)
เป็นศิลปะการต่อสู้ของจีน ในภาษาจีนกลางใช้คำว่า "วูซู" และเมื่อมีการแพร่ขยายออกไปกลายเป็น "กังฟู" ซึ่งเป็นตัวเลข การต่อสู้รูปแบบที่ได้มีการพัฒนากว่าหนึ่งศตวรรษในจีน
4. Karate
![](http://www.blitzsport.com/images/large/Kyoto-WKF-Approved-Kata-Karate-Suit-Action-1.jpg)
เป็นศิลปะการต่อสู้ถือกำเนิดที่โอะกินะวะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นการผสมผสานระหว่างการต่อสู้ของชาวโอะกินะวะและชาวจีน คาราเต้ได้เผยแพร่เข้าสู่ญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) เมื่อชาวโอะกินะวะอพยพเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น
คาราเต้มักถูกเข้าใจผิดว่า เป็นการต่อสู้ด้วยการฟันอิฐ แต่ที่จริงแล้ว คือการต่อสู้ด้วยการใช้อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น กำปั้น เท้า สันมือ นิ้ว ศอก เป็นต้น แต่เมื่อถูกดัดแปลงเป็นกีฬาแล้วเหลือเพียงมือและเท้า
3. Krav Maga
![](http://www.special-ops.org/wp-content/uploads/2012/09/Krav-Maga.jpg)
คราฟมาก้า เป็นระบบการป้องกันตัว ของอิสราเอล ที่ได้รับการพิสูจน์ว่าใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันและในสงคราม ใช้อบรมในหน่วยราชการตำรวจทหาร ทั้งอเมริกาและยุโรป ใช้ในหลักสูตรการต่อสู้มือเปล่าของทหารในกองทัพอิสราเอล และไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้จึงไม่มีความสวยงาม เน้นการฝึกซ้ำในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อให้เกิดการตอบรับอัตโนมัติของร่างกายต่อ สภาวะคับขันต่างๆ
2. Muay Thai
![](http://cdn.tigermuaythai.com/wp-core/wp-content/uploads/ancient-mt.jpg)
มวยไทย เป็น ศิลปะการต่อสู้จากประเทศไทย ที่ใช้หมัด ศอก แขนท่อนล่าง เท้า แข้ง เข่า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ศีรษะ และลำตัวในการต่อสู้ ศิลปะการต่อสู้ลักษณะนี้ สามารถพบเห็นได้หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกตัวอย่างเช่นประเทศกัมพูชาเรียกว่า ประดั่ญเซเรีย (Pradal Serey) หรือขอมมวย ส่วนประเทศลาวเรียก มวยลายลาว (มวยเสือลากหาง)
1. Brazilian Jiu-Jitsu
![](http://bjj-toronto.com/wp-content/uploads/2013/09/BJJ2.jpg)
วิชาบราซิลเลี่ยน ยูยิสสูถูกพัฒนาต่อกันมาโดยบ่อยครั้งที่ถูกนำไปใช้ในการแข่งขัน Valetudo และในภายหลังได้ถูกนำมาสอนในต่างประเทศ และมีชื่อเสียงอย่างมากจากการแข่งขัน Ultimate Fighting Championship ในครั้งที่หนึ่ง ปัจจุบันวิชา บราซิลเลี่ยน ยูยิสสู ถูกแบ่งได้เป็นสองรูปแบบ คือ แบบต้นตำรับของตระกูลเกรซี่ที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันตัว และ ในแบบบราซิลเลี่ยน ยูยิสสู สมัยใหม่เพื่อการแข่งขัน
10. MMA (Mixed Martial Arts)
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบผสม คือ การต่อสู้ที่รวมเอาศิลปะการต่อสู้หลายแขนงเข้าไว้ด้วยกัน อย่างเช่น มวยไทย มวยสากล ยูโด มวยปล้ำ คาราเต้ แชมโบ บราซิลเลี่ยน ยูยิสสู มีทั้งการเตะต่อย และการทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้ โดยมี รายการ อัลติเมท ไฟต์ติง แชมเปียนชิพ (Ultimate Fighting Championship) หรือ UFC ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยม
9. Judo
![](http://www.green-imaging.com/wp-content/uploads/2013/12/judo-3.jpg)
เป็นศิลปะการป้องกันตัวประเภทหนึ่งที่ถือกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น โดยคะโน จิโงะโร ยูโดมีชื่อเต็มว่า โคโดกัง ยูโด เดิมเรียกว่า ยูยิสสู ซึ่งเป็นวิชาที่สามารถต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธด้วยมือเปล่า
8. Wing Chun
![](http://www.wtmartialartsleeds.com/images/home%20page%20pics/Application%20Wing%20Chun.jpg)
เป็นศิลปะการต่อสู้จีนแขนงหนึ่งในแบบของกังฟู หวิงชุน แตกต่างจากกังฟูแบบอื่นอย่างชัดเจน เป็นมวยที่ไม่ต้องใช้พละศึกษาหรือสุขศึกษามากนัก เหมาะสมกับสรีระของผู้หญิง ที่แรงกายอ่อนกว่าผู้ชาย แต่เน้นในการป้องกันตัวและจู่โจมในระยะสั้นแบบเชื่องช้า
7. Taekwondo
![](http://www.insep.fr/FR/Sports/Taekwondo/PublishingImages/taekwondo.jpg)
เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวโดยไม่ใช้อาวุธของชาวเกาหลี คำว่า "แท" () แปลว่า เท้าหรือการโจมตีด้วยเท้า; "คว็อน" () แปลว่า มือหรือการโจมตีด้วยมือ; "โท" () แปลว่า วิถีหรือสติปัญญา ดังนั้นเทควันโดโดยทั่วไป หมายถึง วิถีแห่งการใช้มือและเท้าในการต่อสู้และป้องกันตัว หรือการใช้มือและเท้าในการต่อสู้และป้องกันตัวอย่างมีสติ
6. Boxing
![](http://pumpups.com/blog/wp-content/uploads/2012/06/vfitness-boxing-classes-nyc.jpg)
มวยสากลเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีมาแต่โบราณ โดยเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของทหารในสนามรบ และกลายเป้นเกมกีฬาในการแข่งขันโอลิมปิคยุคโบราณ โดยที่นักมวยในยุคนั้นไม่มีการจำกัดน้ำหนัก ไม่สวมเครื่องป้องกันตัว และไม่จำกัดว่าต้องใช้ได้เพียงหมัด สามารถกัดหรือถองคู่ต่อสู้ได้ โดยไม่มีกติกามากนัก เพียงแต่นักมวยทั้งคู่ต้องถอดเสื้อผ้าให้หมดทั้งตัว เพื่อไม่ให้ซ่อนอาวุธเอาไ
5. Kung Fu
![](http://i.telegraph.co.uk/multimedia/archive/01670/kungFu_1670284c.jpg)
เป็นศิลปะการต่อสู้ของจีน ในภาษาจีนกลางใช้คำว่า "วูซู" และเมื่อมีการแพร่ขยายออกไปกลายเป็น "กังฟู" ซึ่งเป็นตัวเลข การต่อสู้รูปแบบที่ได้มีการพัฒนากว่าหนึ่งศตวรรษในจีน
4. Karate
![](http://www.blitzsport.com/images/large/Kyoto-WKF-Approved-Kata-Karate-Suit-Action-1.jpg)
เป็นศิลปะการต่อสู้ถือกำเนิดที่โอะกินะวะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นการผสมผสานระหว่างการต่อสู้ของชาวโอะกินะวะและชาวจีน คาราเต้ได้เผยแพร่เข้าสู่ญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) เมื่อชาวโอะกินะวะอพยพเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น
คาราเต้มักถูกเข้าใจผิดว่า เป็นการต่อสู้ด้วยการฟันอิฐ แต่ที่จริงแล้ว คือการต่อสู้ด้วยการใช้อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น กำปั้น เท้า สันมือ นิ้ว ศอก เป็นต้น แต่เมื่อถูกดัดแปลงเป็นกีฬาแล้วเหลือเพียงมือและเท้า
3. Krav Maga
![](http://www.special-ops.org/wp-content/uploads/2012/09/Krav-Maga.jpg)
คราฟมาก้า เป็นระบบการป้องกันตัว ของอิสราเอล ที่ได้รับการพิสูจน์ว่าใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันและในสงคราม ใช้อบรมในหน่วยราชการตำรวจทหาร ทั้งอเมริกาและยุโรป ใช้ในหลักสูตรการต่อสู้มือเปล่าของทหารในกองทัพอิสราเอล และไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้จึงไม่มีความสวยงาม เน้นการฝึกซ้ำในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อให้เกิดการตอบรับอัตโนมัติของร่างกายต่อ สภาวะคับขันต่างๆ
2. Muay Thai
![](http://cdn.tigermuaythai.com/wp-core/wp-content/uploads/ancient-mt.jpg)
มวยไทย เป็น ศิลปะการต่อสู้จากประเทศไทย ที่ใช้หมัด ศอก แขนท่อนล่าง เท้า แข้ง เข่า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ศีรษะ และลำตัวในการต่อสู้ ศิลปะการต่อสู้ลักษณะนี้ สามารถพบเห็นได้หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกตัวอย่างเช่นประเทศกัมพูชาเรียกว่า ประดั่ญเซเรีย (Pradal Serey) หรือขอมมวย ส่วนประเทศลาวเรียก มวยลายลาว (มวยเสือลากหาง)
1. Brazilian Jiu-Jitsu
![](http://bjj-toronto.com/wp-content/uploads/2013/09/BJJ2.jpg)
วิชาบราซิลเลี่ยน ยูยิสสูถูกพัฒนาต่อกันมาโดยบ่อยครั้งที่ถูกนำไปใช้ในการแข่งขัน Valetudo และในภายหลังได้ถูกนำมาสอนในต่างประเทศ และมีชื่อเสียงอย่างมากจากการแข่งขัน Ultimate Fighting Championship ในครั้งที่หนึ่ง ปัจจุบันวิชา บราซิลเลี่ยน ยูยิสสู ถูกแบ่งได้เป็นสองรูปแบบ คือ แบบต้นตำรับของตระกูลเกรซี่ที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันตัว และ ในแบบบราซิลเลี่ยน ยูยิสสู สมัยใหม่เพื่อการแข่งขัน
ขอบคุณที่รับชม
วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ง22102
จัดทำโดย
1.ด.ช.จีรพันธ์ ชะงอลรัม เลขที่ 3
2.ด.ช.ด.ช ประสิทธิ์ เพ็ชรนิล เลขที่ 11
3.ด.ช.วัฒนา แก้วโต เลขที่ 15
4.ด.ช ศิรชัช เรืองฤทธิ์ เลขที่ 17
เสนอ คุณครูณัฐพล ฮวดสุนทร
(สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น